Friday, August 26, 2011

พระเจ้าทรงเตรียมผมทั้งด้านจิตใจและสติปัญญาเพื่อให้เป็นธรรมทูตแพร่ธรรม

โดย คุณพ่อแอนโทนี่ เล ดึ๊ก คณะพระวจนาตถ์ของพระเจ้า

มิถุนายน 2011

เมื่อโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร?” ชีวิตวัยเด็กของพวกเราเกือบทุกคน ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ย่อมพบกับคำถามแสนสำคัญนี้จากคนรู้จัก คนนั้นอาจเป็นคุณลุง หรือเพื่อนของคุณพ่อคุณแม่ และคำตอบ คงขึ้นอยู่กับสิ่งที่กำลังสนใจอยู่ ณ ขณะนั้นนั่นเอง

ผมเกิดในประเทศเวียดนามแต่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่เด็ก สมัยเรียนอยู่มัธยมต้น ผมตอบคำถามนี้ว่าอยากเป็นนักบินอวกาศ ไม่กี่ปีจากนั้น ผมตอบว่าอยากเป็นนักเขียน ตอนอยู่มัธยมปลาย ผมคิดว่าผมอยากเป็นนักจิตวิทยา เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย University of California ที่ Berkeley ในปีค.ศ. 1994 ผมตั้งใจจะเป็นหมอ แต่ที่สุดแล้ว ไม่ได้เป็นสักอย่างที่กล่าวถึง

ผมกลายเป็นธรรมทูตแพร่ธรรม

การเป็นธรรมทูตคงไม่ได้อยู่ในตัวเลือกของสายอาชีพสำหรับวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตในยุคโมเดิร์น ไฮเทค และในสังคมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วถึงขนาดว่า การซื้อแบล๊คเบอร์รี่รุ่นล่าสุดสำคัญกว่าการไปวัดวันอาทิตย์ แต่นี่คงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ท้าทายที่สุด ให้ผลตอบแทนมากที่สุด และโลดโผนที่สุดที่คน ๆ หนึ่งจะพึงกระทำได้ในชีวิต

ไม่จำเป็นที่จะตระหนักถึงเรื่องนี้ในวัยเยาว์ เพราะมีเรื่องอื่น ๆ ให้คิดอีกมากมาย ช่วงวัยรุ่นชีวิตผมดำเนินไปเหมือนเพื่อน ๆ ไปเรียนหนังสือ และเล่นกีฬาเกือบทุกวัน ส่วนวันหยุดผมออกไปข้างนอก เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย แม้ว่าการเรียนจะมีความท้าทายมาก และเข้มข้นกว่าสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ถึงกระนั้นผมยังคงจัดการให้ตนเองมีเวลาเพื่อการดำเนินชีวิตทางสังคมที่ดี ผมและเพื่อนไปร่วมงานปาร์ตี้ ไปร้านขายเครื่องดื่มและสโมสรเพื่อความสนุกสนานและผ่อนคลายหลังจากที่เรียนอย่างหนัก

แท้จริงนอกจากเรื่องภายนอกเหล่านี้ ผมก็มีชีวิตเหมือนกับคนหนุ่มสาวอื่น ๆ ในสังคมอเมริกา แต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้ผมแตกต่างจากเพื่อน นั่นคือวัดคาทอลิก ด้วยเหตุผลบางประการ ผมชื่นชอบการไปวัดอย่างแท้จริง สมัยเป็นนักเรียนมัธยม ผมเป็นสมาชิกกลุ่มเยาวชนของวัด พวกเราทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกันอย่างมากมาย เช่นสวดภาวนา ออกค่ายฤดูร้อน เข้าเงียบ และร่วมกิจกรรมกับกลุ่มเยาวชนจากวัดอื่น ๆ ในสังฆมณฑล เพราะกลุ่มเยาวชนนี้เอง ผมสามารถเพลิดเพลินกับชีวิต และในขณะเดียวกัน สามารถพัฒนาตนเองทั้งด้านอารมณ์และชีวิตจิต ผมมีเพื่อนที่ดีและความสัมพันธ์ที่ดีกับวัด ผมมีความสุขและภาคภูมิใจที่เป็นคาทอลิก

เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ผมต้องอยู่ไกลบ้านเพื่อการศึกษา และไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มเยาวชนของวัดใดอีก แต่ก็ขอบคุณการได้รับการอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็กของผมจากที่บ้าน ผมยังไปวัดทุกวันอาทิตย์ ที่วัดคาทอลิกซึ่งอยู่ใกล้กับหอพักของผม มีพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณรอบสุดท้ายเวลาสี่ทุ่ม แม้จะดึกมากแต่ที่วัดก็เต็มไปด้วยนักศึกษาที่มาร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณหลังจากทำการบ้านของพวกเขาเสร็จ ผมร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณในช่วงเวลานี้บ่อย ๆ เพื่อปฏิบัติตามหน้าที่ของคริสตชนอย่างบริบูรณ์ในวันอาทิตย์ และพร้อมกันนั้นก็เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิต แม้ว่าผมจะออกไปข้างนอกในคืนวันศุกร์หรือวันเสาร์บ่อย ๆ แต่คืนวันอาทิตย์นั้นถูกสงวนไว้เพื่อการไปร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ

ในฐานะคนหนุ่ม นอกจากความรักต่อพระศาสนจักรแล้ว ผมก็มีความปรารถนาอื่นด้วย ซึ่งก็คือการช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผมบอกกับตนเองบ่อย ๆ ว่าในอนาคต ถ้าผมได้เป็นหมอ ผมจะไปยังดินแดนที่ห่างไกลเพื่อรักษาคนจนผู้เป็นบุคคลชายขอบที่ถูกสังคมทอดทิ้ง ผมจะไม่เพียงเป็นแพทย์ที่ทำงานที่คลีนิคหรูในเมืองที่สวยงาม ให้การรักษาแต่คนร่ำรวย ซึ่งคงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก

เมื่อไตร่ตรองถึงชีวิตในช่วงวัยรุ่น ผมตระหนักว่าแม้ผมจะหมกมุ่นอยู่กับความคิดและความฝันมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนในวัยเยาว์ ผมเชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมผมอย่างแท้จริงทั้งด้านชีวิตจิตและสติปัญญาเพื่อให้เป็นธรรมทูตแพร่ธรรม ผมชอบที่จะศึกษาเล่าเรียน รักวัด ปรารถนาที่จะรับใช้คนอื่น ๆ และลึก ๆ ในใจ ผมปรารถนาที่จะทำให้ชีวิตเปี่ยมด้วยความหมาย ใช่เปี่ยมด้วยความหมายอย่างแท้จริง

ระหว่างปีแรกที่เรียนมหาวิทยาลัย ผมได้พบธรรมทูตแพร่ธรรมจากคณะพระวจนาตถ์ของพระเจ้า ผู้เป็นเพื่อนร่วมทางกับผมตลอดสามปีของชีวิตในมหาวิทยาลัย บางทีเพื่อจะช่วยให้ผมตระหนักถึงเรื่องนี้ คือผมถูกเรียกให้รับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ในฐานะพระสงฆ์ผู้เป็นธรรมทูตแพร่ธรรม สิ่งที่ได้ยินและเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมทูตแพร่ธรรมดึงดูดใจผมมาก จนทำให้บอกกับตนเองว่า ผมพร้อมแล้วที่จะล้มเลิกความคิดที่จะเป็นแพทย์เพื่อเข้าบ้านเณรเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมย้ำกับตนเองว่าถ้าเป็นนักบวช ผมจะไม่ยอมเป็นอะไรอื่นนอกเหนือจากเป็นธรรมทูตแพร่ธรรม ในที่สุดผมได้บรรลุความปรารถนาของตน

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปีค.ศ. 1998 ผมเข้าบ้านเณรของคณะพระวจนาตถ์ของพระเจ้า และใช้เวลาแปดปีต่อมาเพื่อรับการบ่มเพาะ ฝึกฝน และหล่อหลอมให้เป็นผู้ที่พร้อมสำหรับดินแดนแพร่ธรรม หลังจากบวชเป็นพระสงฆ์ในปีค.ศ. 2006 ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา ผมถูกส่งให้มาทำภารกิจการแพร่ธรรมที่ประเทศไทย เมื่อเพื่อน ๆ และครอบครัวได้ยินว่าผมต้องทำหน้าที่ธรรมทูตที่ประเทศไทย พวกเขาพูดกับผมว่า แล้วคุณจะเรียนรู้ที่จะอ่านภาษาแปลกประหลาดนั้นได้อย่างไร? พวกเขาไม่เขียนแม้กระทั่ง ABC และตัวหนังสือก็เหมือนตัวหนอนยึกยือผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่การฝึกฝนเพื่อเป็นธรรมทูตของผม สอนให้รู้ว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ถ้าเราตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำให้สำเร็จ

ผมก้าวลงจากเครื่องบินมาสู่กรุงเทพเมืองที่แสนจะคับคั่งจอแจตอนต้นปี 2007 และเริ่มเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนสอนภาษาซึ่งบริหารโดยโปรเตสแตนท์ เรื่องกลับกลายเป็นว่า การเรียนภาษาไทยก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ ยิ่งผมได้เรียนรู้และสามารถที่จะพูดและเข้าใจภาษาไทยได้มากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็เริ่มที่จะหลงใหลในความสวยงามของภาษาไทย ผมรักการที่ผู้ชายใช้คำว่า ครับและผู้หญิงใช้คำว่าค่ะในการลงท้ายประโยคอย่างสุภาพ ยิ่งผมเข้าใจภาษาไทยมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็เริ่มที่จะเข้าใจวัฒนธรรมและสังคมไทยมากยิ่งขึ้น ผมชื่นชมการที่คนไทยพนมมือเข้าด้วยกันเพื่อทำการไหว้ทักทายกัน และผมยังได้เข้าใจอีกว่าเรื่องศาสนา ความเชื่อเรื่องโชคลาง และประเพณีต่างๆได้ถูกถักทอเข้าไปในวิธีการคิดของคนไทยอย่างไร ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหนังไทยถึงเป็นหนังสยองขวัญซะส่วนใหญ่

หลังจากที่ผมเรียนภาษาไทยจบหลักสูตร ผมก็เริ่มออกทำภารกิจในจังหวัดเล็กๆในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่ชื่อว่าหนองบัวลำภู มันเป็นจังหวัดที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแม้กระทั่งในหมู่คนไทยด้วยกัน เพราะจังหวัดนี้ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวถึงแม้ว่ามันจะมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่บ้างก็ตาม กิจกรรมที่ดึงดูดผู้คนมากที่สุดก็คือตลาดนัดทุกบ่ายวันอังคารซึ่งมีสินค้าแทบจะทุกประเภทวางขายในราคาถูก ที่ใจกลางจังหวัดมีทะเลสาบที่ห้ามลงไปว่ายน้ำหรือตกปลา ข้างๆทะเลสาบคือลานกิจกรรมที่ชาวบ้านจะมาออกกำลังกายเช่น เตะฟุตบอล เล่นบาสเกตบอล และเต้นแอโรบิคกลางแจ้งในยามบ่าย และลานนี้ยังเป็นสถานที่จัดงานต่างๆในจังหวัดนี้ด้วย

ชาวหนองบัวลำภูหลายคนตั้งใจจะย้ายออกจากจังหวัดเมื่อมีโอกาส คนหนุ่มสาวพากันออกไปเรียนหรือหางาน ในขณะที่ผู้ใหญ่ก็ออกไปเพื่อหางานทำเช่นกัน ส่วนในหมู่บ้าน คนแก่มากมายถูกทิ้งให้ใช้ชิวิตอยู่ตัวคนเดียว หรือไม่ก็ต้องเลี้ยงหลานที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ดูแลเพราะออกไปทำงานในกรุงเทพหรือจังหวัดใหญ่ๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของหนองบัวลำภูก็คือความเรียบง่ายของมันนี่เอง แต่สำหรับผม หนองบัวลำภูมีเสน่ห์ที่ยากจะเข้าใจ บางครั้ง ผมรู้สึกดีกับการขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามท้องถนนในเมืองพร้อมกับสูดกลิ่นของรวงข้าวหลังฝนตก หรือการพยายามหลบวัวที่กำลังข้ามถนนในขณะที่ข้างหน้าของผมคือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีเทาที่กำลังแตกตัวออกหลังจากฝนเพิ่งหยุดตก

จังหวัดหนองบัวลำภูมีวัดคาทอลิกอยู่เพียงหลังเดียวที่สร้างขึ้นเมื่อ 8 ปีก่อน ซึ่งต้องขอบคุณความพยายามของบราเด้อร์เดเมียน ลันเดอร์ ธรรมทูตจากคณะพระวจนาตถ์ของพระเจ้าอีกคนผู้ซึ่งเป็นแรงผลักดันในการสร้างวัดนี้ขึ้นมา ในหนองบัวลำภูไม่มีโรงเรียนคาทอลิกหรือสถาบันการเรียนชื่อดังอื่นๆเลย แต่ว่าที่ข้างๆวัดนั้นเป็นที่ตั้งของบ้านนิจจานุเคราะห์และศูนย์ดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ และที่ด้านหลังของโบสถ์คือบ้านเด็กกำพร้าแม่ชีเทเรซ่าที่ดูแลเด็กที่ติดเชื้อ HIV ด้วย เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยที่ชุมชนของเราเป็นที่รู้จักในนามของศูนย์โรคเอดส์

ชุมชนคาทอลิกที่เราอาศัยอยู่ในจังหวัดหนองบัวลำภูนั้นถึงจะเล็กแต่เราก็มีภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่จะเป็นพยานของพระเจ้าในสังคมที่เต็มไปด้วยพุทธศาสนิกชน หนึ่งในหลายๆวิธีที่เราจะเป็นพยานของพระเจ้าได้อย่างมีประสิทธิผลก็คือการใช้ชีวิตโดยแสดงออกถึงความเป็นจริงอย่างดีที่สุด ด้วยความหวังและความมั่นใจในความรักและความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ทุกคน ผมสนับสนุนความเพียรนี้ในชุมชนของเราโดยการกระตุ้นให้ทุกคนเปิดใจต่อกันและกัน ยอมรับกันและกันในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า และเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน ในฐานะที่ผมเป็นสมาชิกผู้แพร่ธรรมในสังคมนานาชาติที่มีจุดมุ่งหมายที่จะใช้ชีวิตและทำงานในที่ที่ต่างวัฒนธรรม ผมพยายามอย่างมากที่จะสร้างกิจกรรมต่างๆเพื่อจะนำทุกคนมาอยู่ด้วยกันและเพื่อเป็นสะพานเชื่อมความต่างและความไม่เข้าใจเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา วัฒนธรรม หรือสังคมก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปในชุมชนของเราที่บรรดาหนุ่มสาวผู้ติดเชื้อ HIV จะทำงานเพื่อสังคมเคียงข้างไปกับผู้ที่ไม่ได้ติดเชื้อไวรัส สัตบุรุษในวัดของเราก็ร่วมพิธีบูชามิสซาเคียงข้างไปกับผู้ป่วยโรคเอดส์จากสถานพักฟื้นที่ตั้งอยู่ข้างๆวัด ส่วนเด็กๆในชุมชนก็พากันทำกิจกรรมและการละเล่นร่วมไปกับเด็กๆจากบ้านเด็กกำพร้า คนหนุ่มสาวทั้งสุขภาพดีและผู้ติดเชื้อ HIV ต่างก็ทำอาหารและรับประทานร่วมกันทุกวันอาทิตย์หลังจากทำกิจกรรมยามเช้าเสร็จแล้ว และในมิสซาวันอาทิตย์ เราจะสามารถเห็นชาวพุทธและคริสต์ เด็กและคนแก่ ชาวไทยและชาวต่างชาติ พากันมีส่วนร่วมในพิธีบูชามิสซาอย่างแข็งขัน สำหรับผมแล้ว นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นรูปธรรมและเห็นได้ชัดมากที่สุดของการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวและการยอมรับซึ่งกันและกันในชุมชนของวัดเรา

กิจกรรมหลักของเราคือการร่วมบูชามิสซา เรียนรู้ ทำงาน แบ่งปันอาหาร และอื่นๆ โดยที่เราไม่ได้มุ่งเน้นที่สุขภาพหรือสถานะทางสังคมของใครคนใดเป็นพิเศษ เพราะคนเราทุกคนต้องการโอกาสที่จะใช้ชีวิตแบบมนุษย์ ทำอะไรต่างๆเหมือนคนทั่วไป และมีความสัมพันธ์ต่อกันโดยมิได้คำนึงถึงสถานะทางสังคมหรือผลตรวจเลือด แต่ให้ความสำคัญถึงความเป็นมนุษย์เป็นหลัก

ด้วยเหตุนี้ ภารกิจส่วนตัวของผมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของคณะของผมและพระศาสนจักร คือการหาวิธีที่จะสอนคำสอนและเผยแพร่ข่าวดีเรื่องความรักของพระเจ้าและความรอดของเรามนุษย์ให้สร้างสรรค์ที่สุด ด้วยตำแหน่งอันต่ำต้อยของผมในฐานะบาทหลวงประจำวัดเล็กๆ ผมทำงานร่วมกับชาวบ้านเพื่อทำทุกอย่างที่เราสามารถจะทำได้เพื่อจะทำให้ภารกิจอันแสนศักดิ์สิทธิ์และสำคัญนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี กิจการของวัดเรา เช่น สอนคำสอนเพื่อตอบรับถึงความต้องการทางด้านจิตวิญญาณให้กับเด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ แผนงานพัฒนาสังคมเพื่อเข้าถึงชุมชน และโครงงานเพื่อการสื่อสารโดยใช้จดหมายข่าว วิทยุ และอินเตอร์เน็ท ล้วนแต่มุ่งไปที่จุดหมายเดียวคือการเป็นประจักษ์พยานของความเป็นไปได้ที่มนุษย์เราจะทำงานร่วมกับพระจิตศักดิ์สิทธิ์ในการปฏิบัติภารกิจของพระเจ้า ถึงแม้ว่างานของเราจะประกอบไปด้วยพันธกิจมากมาย ขอบเขตของงานของเรานั้นแสนจะเรียบง่าย อย่างไรก็ตาม เรามีทัศนคติที่แรงกล้าและความหวังของเรานั้นก็ยิ่งใหญ่มาก

เป็นเวลาสี่ปีแล้วที่ผมได้เหยียบผืนแผ่นดินไทยเพื่อที่จะทำภารกิจแรกของผมให้สำเร็จ และมันก็เป็นเวลาสามปีแล้วที่ผมได้มาประจำอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ถ้ามีคนถามผมว่าผมพูดภาษาอีสานได้หรือยัง ผมก็คงจะต้องตอบด้วยความสัตย์จริงว่าผมยังพูดไม่ได้ ภาษาอีสานมีคำศัพท์ท้องถิ่นและวิธีการออกเสียงที่จนป่านนี้ผมก็ยังจับใจความไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้พยายามที่จะเรียนรู้นะ แต่ตอนนี้ผมก็แค่มีความสุขกับการพูดได้กึ่งๆคล่องแคล่วกับภาษาที่ผมเริ่มเรียนเมื่อมาถึงเมืองไทยครั้งแรก

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหวังว่าผมจะสามารถพูดภาษาอีสานได้ ผมอิจฉาผู้ช่วยของผมที่มาจากภาคอีสานและเขาสามารถทำให้เด็กๆหัวเราะได้โดยใช้ภาษาท้องถิ่น ผมจะรู้สึกอึดอัดมากเวลาที่ผมไปเยี่ยมคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านหรือตามโรงพยาบาลแล้วผมต้องทำเป็นว่าผมเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดกับผม ซึ่งเกือบทุกครั้งก็เป็นภาษาอีสาน

ไม่แน่ว่ายี่สิบปีหลังจากนี้ หรือสุดแล้วแต่พระเจ้าจะจัดให้ ผมคงจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้นานพอที่จะพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วและสามารถที่จะพูดได้กระทั่งภาษาอีสาน ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคงจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า ผมกำลังเดินตามรอยเท้าของนักบุญเปาโลตอนที่ท่านประกาศยืนยันว่า ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง ข้าพเจ้าทำอย่างนี้เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนกับท่านในข่าวประเสริฐนั้น” (1 โครินธ์ 9:22-23) ถ้าถึงวันนั้น ผมคงจะพูดได้ว่า ผมยอมเป็นคนไทย เพื่อคนไทยทั้งปวง